พูดถึงเรื่องการโอนรถ หลายคนกำลังอยู่ในช่วงดำเนินการ หรืออยากจะหาข้อมูล แต่ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร และเตรียมเอกสารอะไรบ้าง มีค่าธรรมเนียมเท่าไหร่ เพื่อให้การโอนรถเป็นไปอย่างสะดวก ไม่ต้องเสียเวลาไปสำนักงานขนส่งหลายรอบ วันนี้เราจึงนำข้อมูลเกี่ยวกับโอนรถมาฝากทุกท่าน ทั้งการโอนรถแบบทั่วไป และการโอนลอย
ก่อนอื่น เราไปรู้ก่อนว่า การโอนรถคืออะไร เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
การโอนรถ คือ การโอนกรรมสิทธิ์จากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง โดยผู้โอนและผู้รับโอนต้องแจ้งต่อนายทะเบียนเฉพาะการโอนกรรมสิทธิ์ในรถซึ่งต้องเป็นรถที่จดทะเบียนเรียบร้อยแล้ว แต่การโอนสิทธิครอบครองที่จดทะเบียนแล้ว เช่น การเปลี่ยนผู้เช่าซื้อ ทางระบบทะเบียนถือว่าเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมรายการเท่านั้น
เอกสารที่ต้องใช้ในการโอนรถสำคัญมาก เพราะหากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่สามารถโอนรถได้ และยังทำให้เสียเวลา เสียความอารมณ์ เสียความรู้สึก ดังนั้น ควรเตรียมเอกสารในการโอนรถให้พร้อมซะก่อนค่อยเข้าไปดำเนินการโอนรถ ซึ่งในการโอนรถต้องใช้เอกสารดังต่อไปนี้
กรณี เจ้าของรถเสียชีวิตต้องใช้สำเนาใบมรณบัตร
กรณี โอนมรดก ต้องนำคำสั่งศาลหรือพินัยกรรมพร้อมสำเนา
กรณี เป็นนิติบุคคล ต้องใช้หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม
เมื่อเตรียมเอกสารเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าสู่ขั้นตอนในการโอนรถ ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้
1 กรอกแบบฟอร์มคำขอและรับโอนที่ส่วนงานทะเบียนสำนักงานขนส่ง
2 เราต้องนำรถเพื่อรับการตรวจสภาพรถ ที่งานตรวจสภาพรถยนต์ที่สำนักงานขนส่งจังหวัด
3 เมื่อตรวจสภาพรถเสร็จ ก็ยื่นเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ และชำระค่าธรรมเนียมที่งานทะเบียนรถ
4 รับคู่มือจดทะเบียนรถ ใบเสร็จ เครื่องหมายเสียภาษี แผ่นป้ายทะเบียนรถ
การโอนลอย คือ การที่ผู้ขายส่งมอบรถให้กับผู้ซื้อ พร้อมมอบแบบคำขอโอนและรับโอนรถ โดยได้ลงลายมือชื่อในช่องผู้โอน พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน เล่มทะเบียนรถ และหนังสือมอบอำนาจที่ลงลายมือชื่อไว้เรียบร้อยแล้ว โดยไม่ไปจดทะเบียนโอนที่สำนักงานขนส่ง ในกรณีนี้ผู้ซื้อจะต้องเป็นคนเข้าไปดำเนินการที่สำนักงานขนส่งเอง
ซึ่งการโอนลอย ก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย ผู้ซื้อและผู้ขายต้องพิจารณาให้ดี เพื่อที่จะไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลังได้
1 สะดวก รวดเร็ว สามารถส่งรถและเอกสารให้กับผู้ซื้อได้เลย จึงทำให้ธุรกิจซื้อขายรถมือสองนิยมใช้วิธีโอนลอยให้กับลูกค้า
2 สามารถเปลี่ยนตัวผู้โอนได้เสมอ
1 กรณีที่ผู้ซื้อยังไมไปจดทะเบียนโอนที่สำนักงานขนส่ง แต่เกิดขับรถไปเกิดอุบัติก่อน หรือนำรถไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะตรวจสอบไปทางสำนักงานขนส่งว่าใครเป็นเจ้าของรถ ซึ่งหากยังเป็นชื่อผู้ขายอยู่อาจจะต้องถูกเชิญไปให้ปากคำ หรือโดนตั้งข้อหา ซึ่งทำให้เกิดความยุ่งยากตามมาถึงแม้เราจะไม่ได้ทำผิดก็ตาม
2 กรณีบัตรผู้ขายหมดอายุ ก็จะมีปัญหาในการโอน โดยจะต้องเสียเวลาในการส่งเอกสารใหม่มาให้ หรือหากผู้ขายเสียชีวิต ก็จะทำให้เกิดความยุ่งยากในการขอเอกสารใหม่
3 กรณีผู้ซื้อไม่ไปโอน และไม่มีการต่อภาษี ซึ่งชื่อในการค้างต่อภาษีก็จะยังเป็นชื่อผู้ขายอยู่
การโอนรถมอเตอร์โซค์และรถเก๋ง มีการเตรียมเอกสารและขั้นตอนการโอนที่คล้ายกัน แต่ก็จะมีบางขั้นตอนที่แตกต่างกันออกไปแค่ลำดับก่อนหลัง คือ การโอนรถมอเตอร์ไซค์ จะต้องไปตรวจสอบสภาพรถก่อน ที่จะไปกรอกแบบคำขอและรับโอน ส่วนรถเก๋ง ต้องไปกรอกแบบคำขอและรับโอนก่อนค่อยไปตรวจสภาพรถยนต์ ส่วนขั้นตอนถัดไปก็ดำเนินการเหมือนกันค่ะ
ในการโอนรถแน่นอนว่าต้องมีค่าธรรมในการโอนรถ เพื่อให้ผู้อ่านได้เตรียมเงินให้พร้อมก่อนการไปโอนรถ เป็นการประเมินค่าใช้จ่ายเบื้องต้น จะได้ไม่เกิดปัญหาเมื่อไปถึงสำนักงานขนส่ง
1 ค่าคำขอ 5 บาท
2 ค่าธรรมเนียมการโอน 100 บาท
3 ค่าอากรแสตมป์ 500 บาท ต่อราคาประเมินรถทุก 100,000 บาท
4 ค่าเปลี่ยนป้ายทะเบียน 200 (ถ้าเปลี่ยน)
5 ค่าเปลี่ยนเล่มทะเบียน 100 บาท (กรณีเล่มทะเบียนชำรุด หรือ เก่า)
เป็นยังไงบ้างคะ สำหรับข้อมูลการโอนรถ ทั้งโอนปกติ โอนลอย โอนรถยนต์ โอนรถมอเตอร์ไซค์ หวังว่าบทความนี้คงเป็นประโยชน์กับผู้อ่านได้นำไปใช้ในการโอนรถทุกประเภท ซึ่งในบทความนี้ก็ได้บอกทั้งการเตรียมเอกสาร ขั้นตอนการโอน และค่าธรรมเนียมๆต่างไว้ครบเรียบร้อยแล้ว